ใบเสร็จ/อนุโมทนา/ลดหย่อนภาษีได้
มูลนิธิ
โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
คำว่า “มูลนิธิ” ในภาษาไทยเป็นคำสืบเนื่องมาจากภาษาบาลีว่า “นิธิ” ซึ่งแปลว่า “ขุมทรัพย์” ในทางพระพุทธศาสนา บางแห่งแบ่งนิธิหรือขุมทรัพย์นี้ไว้ ๔ ประเภท คือ
๑. ขุมทรัพย์ติดที่ หรือถาวรนิธิ แต่เดิมหมายเอาทรัพย์สมบัติที่ฝังดินไว้ ตลอดถึงเรือกสวนไร่นาอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ ในสมัยปัจจุบันคงต้องรวมเอาเงินที่ฝากไว้ในธนาคารเป็นต้นเข้าในความหมายนี้ด้วย
๒. ขุมทรัพย์เคลื่อนที่ หรือสังคมนิธิ ได้แก่ ข้าทาส บริวาร ตลอดจนสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ
๓. ขุมทรัพย์คู่กาย หรืออังคนิธิ ได้แก่ ศิลปวิทยา ความรู้สำหรับหาเลี้ยงชีวิต
๔. ขุมทรัพย์ตามตัว หรืออนุคามิกนิธิ ได้แก่ บุญคือคุณธรรมที่ได้ฝึกอบรมให้มีในตน แล้วฝากฝังไว้ในที่อันปลอดภัย กล่าวคือ ในพระศาสนา เช่น เจดีย์สถานและพระสงฆ์ในบุพการีชน เช่น มารดา บิดา ในประโยชน์ส่วนรวม ในหมู่ญาติ ตลอดจนบุคคลที่รู้จักเกี่ยวข้องและคนทั่วไป
นิธิทั้ง ๔ นี้ แต่ละอย่างเป็นของสำคัญแก่ชีวิตมนุษย์และมีประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ประโยชน์นั้นก็ดี ความมั่นคงทนทานนั้นก็ดีหาเสมอกันไม่
ขุมทรัพย์อย่างที่ ๑ นับเป็นส่วนอุปกรณ์เครื่องเลี้ยงชีพเป็นหลักประกันความปลอดภัยของอาชีพ ให้ความอบอุ่นในยามปกติและสามารถนำออกใช้ในคราวจำเป็น นับเป็นวิธีรักษาทรัพย์อย่างดียิ่ง แต่กระนั้นก็อาจเกิดเหตุผิดพลาดต่างๆ ให้หลุดมือไปหรือถูกริบถูกยึดไปได้และหากไม่นำไปใช้เพื่อตนและคนอื่นก็สำเร็จประโยชน์น้อย ถึงคราวจากโลกนี้ไปก็ต้องทิ้งไว้ ไม่อาจนำไปกับตนได้ นับว่ามีประโยชน์จำกัด ไม่มั่นคงแท้จริง ยิ่งนำไปประกอบการอันชั่ว เบียดเบียนตนและผู้อื่น ก็กลับซ้ำกลายเป็นของร้าย นำมาซึ่งโทษภัย ทางศาสนาไม่สรรเสริญ
แม้ขุมทรัพย์ประเภทที่ ๒ ที่มีประโยชน์รับใช้สนองความประสงค์และช่วยการต่าง ๆ ให้สำเร็จโดยง่ายก็ยังไม่เชื่อว่ามั่นคงปลอดภัยจริง เพราะมีเวลาล้มหายตายจากพรากกันไป หรือเปลี่ยนมือเปลี่ยนใจเป็นอย่างอื่น
ประเภทที่ ๓ คือ ศิลปะวิทยาการต่าง ๆ นับว่าเป็นของมั่นคงและปลอดภัยกว่านิธิ ๒ อย่างแรก เพราะมีต้นทุนอันมีติดอยู่กับตัว ใครลักหรือแย่งชิงไปไม่ได้ สามารถนำมาใช้ประกอบอาชีพทำการงานหาทรัพย์สมบัติเลี้ยงชีวิตได้ ใช้เท่าไรไม่รู้จักหมด ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม เป็นบ่อเกิดและทางมาแห่งขุมทรัพย์สองอย่างแรกตลอดไป ทั้งสามารถนำไปบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือมนุษย์ได้เป็นอันมาก แต่ก็ยังไม่สำเร็จประโยชน์สมบูรณ์เพราะอาจเป็นเหตุให้ผู้ประพฤติแต่ทางเสียหาย ไร้คุณธรรม ไว้วางใจมิได้ วิชาความรู้นั้นก็อาจเป็นหมัน มีเหมือนไม่มีหรือกลับกลายเป็นพิษให้โทษมากขึ้น
ขุมทรัพย์อย่างที่ ๔ มีชื่อเรียกสั้น ๆ อีกอย่างหนึ่งว่า “มูลนิธิ” เป็นขุมทรัพย์ฝ่ายนามธรรมไม่มีรูปร่าง มองไม่เห็น มีอยู่ประจำตน ใครลักหรือแย่งชิงไปไม่ได้ ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่มคล้ายกับขุมทรัพย์อย่างที่ ๓ แต่มีคุณสมบัติอื่นเป็นพิเศษกว่าเป็นอันมาก กล่าวคือติดตามให้ผลช่วยตนแม้ในชีวิตหน้า ข้อที่สำคัญในชาตินี้อยู่ที่ว่านิธินี้ เป็นนิธิหลักเป็นทางมาเป็นทางเพิ่มพูน และเสริมประโยชน์แก่นิธิ ๓ อย่างแรก ผู้ใดมีนิธิคือคุณธรรมในตนเอง แล้วก็มีทางหาทรัพย์สมบัติที่เป็นนิธิอย่างที่ ๑ ได้ ถ้าเป็นผู้มีทรัพย์ก็รู้จักรักษาทรัพย์นั้นไว้ได้ ทำให้พอกพูนและใช้เป็นประโยชน์
ทั้งแก่ตนเองและบุคคลอื่น แม้ถึงข้าทาสบริวารสัตว์เลี้ยงและศิลปวิทยาอันเป็นนิธิอย่างที่ ๒ และ ๓ ถ้าเป็นผู้มีนิธิคือคุณธรรมอยู่แล้วก็สามารถหามารักษาและใช้ให้เป็นประโยชน์โดยเต็มที่เช่นเดียวกัน
บุญนิธิ คือ คุณธรรมนั้น มีมาก เช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในนิธิกัณฑสูตร แห่งขุททกนิกาย ได้แก่ ธรรม ๔ ประการ คือ ทาน (การให้ สละและบริจาค) ศีล (ความประพฤติสุจริต)
สัญญมะ (การบังคับจิตใจควบคุมอารมณ์) ทมะ (การฝึกฝนอบรมตน)
บุญก็เป็นทรัพย์อันแพร่หลายอยู่ทั่วทุกแห่งหน และนิธิคือที่สำหรับทำบุญนั้นก็มีอยู่ทั่วไป ผู้มีตาปัญญาย่อมมองเห็น สามารถแสวงหาขุมทรัพย์แล้ว ฝังไว้เป็นบุญนิธิได้ทุกที่และทุกเวลา ผู้รู้จักมอง ย่อมเห็นขุมทรัพย์ได้ แม้แต่ในคำว่ากล่าวชี้โทษผู้อื่น อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในคาถาธรรมบท บัณฑิตวรรคว่า “พึงมองเห็นปราชญ์ผู้คอยชี้โทษชอบข่มว่าเหมือนเป็นผู้บอกทรัพย์และควรคบคนที่เป็นบัณฑิตเช่นนั้น เมื่อคบคนอย่างนั้นย่อมมีแต่ดี ไม่มีเสีย” คติอันพึงได้จากพุทธพจน์นี้ อยู่ที่ว่า คำชี้โทษนั้นช่วยให้เรารู้และแก้ไขข้อบกพร่องของตน ปรับปรุงตนเองให้ดียิ่งขึ้น เท่ากับได้พบและสร้างขุมทรัพย์ขึ้นอีก
เมื่อเผื่อแผ่ บริจาคทาน ประพฤติสุจริต และบำเพ็ญประโยชน์แก่สถาบันใด ๆ ก็ดี แก่กิจการส่วนรวมใด ๆ ก็ดี หรือแม้แก่บุคคลผู้หนึ่งผู้ใดก็ดี ย่อมได้ชื่อว่า ฝังบุญนิธิไว้แล้วในที่
นั้น ๆ ยิ่งผู้ฝังขุมทรัพย์นั้นเป็นคนมีปัญญา รู้จักคิด รู้จักพิจารณา ว่าฝังในที่ใดอย่างใดจึงจะสำเร็จประโยชน์มาก ก็ยิ่งเป็นขุมทรัพย์ที่ดีมีคุณค่ามากขึ้น ในทางพระพุทธศาสนาจึงสอนให้ทำการทุกอย่างด้วยปัญญา เช่น เมื่อบริจาคทาน ก็พึงให้ด้วยตระหนักแก่ใจของตนแล้วว่า การให้นั้น จักช่วยให้บังเกิดประโยชน์แก่รู้รับไปมีผลดีงามแก่พระศาสนา แก่สถาบัน แก่ชุมชนนั้น ๆ อย่างไร ตามอย่างพุทธภาษิต ในสังยุตตนิกายสคาถวรรค ที่ว่า “การให้ด้วยการพิจารณา ทำให้สำเร็จประโยชน์ การพิจารณาแล้วจึงให้ เป็นทานอันพระสุคตทรงสรรเสริญ” และการพิจารณาแล้วให้นั้น ก็จัดเป็นสับปุริสทานอย่างหนึ่งด้วย ทานที่ท่านจัดว่าเลิศ ว่าสูงสุดตามคติพุทธศาสนาได้แก่ สังฆทาน คือ การให้แก่สงฆ์ การให้แก่ส่วนรวม เพราะการให้แก่ส่วนรวมย่อมตัดและป้องกันความรู้สึกเศร้าหมอง หรือขุ่นมัวในใจ ที่อาจเกิดจากความเกี่ยวเกาะในตัวบุคคล
มิให้เกิดขึ้นได้ และการให้แก่ส่วนรวมย่อมสำเร็จประโยชน์ได้แน่นอนกว่า กว้างขวางกว่าโดยเฉพาะในเมื่อส่วนรวมนั้นมีระบบการจัดการมีระเบียบวิธีดำเนินงานที่รัดกุมเรียบร้อย สังฆทานจึงเป็นการให้ด้วยความพินิจพิจารณาเป็น วิเจยฺย ทานํ อยู่ในตัว
พระพุทธองค์เคยตรัสเล่าเรื่องพราหมณ์ฤๅษีในปางก่อนว่า ท่านเหล่านั้น ประพฤติพรหมจรรย์มีความสำรวม ได้รักษาขุมทรัพย์อันประเสริฐที่เรียกว่า พรหมนิธิไว้ ได้แก่ ประพฤติมั่นในพรหมวิหารธรรมเป็นต้น แม้จะไม่ได้แสวงหาทรัพย์สมบัติเงินทอง ของใช้และสัตว์เลี้ยงต่างๆ เอง แต่ก็เป็นผู้สมบูรณ์พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สินและพืชผล ได้รับการทำนุบำรุงและความเคารพนอบน้อมจากประชาชนเป็นอย่างดี นี้เป็นบุญนิธิอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียงชั้นที่ที่มิใช่สัจธรรม แต่ก็ยังมีประโยชน์มาก ส่วนในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีคำสอนเป็นสัจธรรมสอนไว้ทุกระดับ ถ้ามีปัญญารู้จักเลือกและนำมาประพฤติปฏิบัติ ย่อมสามารถให้ผลประโยชน์ตามความประสงค์ตั้งแต่ชั้นโลกียสมบัติ อันได้แก่ความสมบูรณ์ด้วยกามคุณ ๕ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ในโลกมนุษย์และสวรรค์ ตลอดถึงนิพพานสมบัติและแม้พุทธภูมิ ตามที่มีรับรองไว้ในนิธิกัณฑสูตรนั้น ทั้งสามารถช่วยคนอื่น ๆ ให้ได้รับผลเช่นนั้นด้วย
วิธีทำบุญในมูลนิธิ อย่างที่มีผู้ศรัทธามากขึ้นในปัจจุบันนี้ นับว่าเป็นวิธีการอันสนับสนุนคติเรื่องนิธิที่กล่าวแล้ว จัดเป็นการฝังขุมทรัพย์ ประเภทบุญนิธิอย่างสำคัญ จะขอยกลักษณะอันดีของมูลนิธิมากล่าวไว้แต่บางประการ เช่น
๑. มูลนิธิเป็นสถาบันส่วนรวม ตั้งไว้เพื่อกิจอันเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมที่เรียกว่า กุศลสาธารณประโยชน์ การให้แก่มูลนิธิจึงจัดเข้าในทางประเภทสังฆทาน ซึ่งเป็นทานที่มีผลมากที่สุด เพราะทำให้ใจของผู้บริจาคปลอดโปร่งบริสุทธิ์ ให้กว้างขวาง ไม่คับแคบ ความหมายของทานที่ว่าให้หรือเสียสละอย่างแท้จริง ยิ่งถ้าเป็นมูลนิธิของพระสงฆ์ในศาสนาด้วย ก็ย่อมเป็นสังฆทานโดยสมบูรณ์ทั้งในรูปศัพท์และความหมาย
๒. มูลนิธิ ย่อมมีวัตถุประสงค์อันเกี่ยวด้วยสาธารณประโยชน์ระบุไว้ชัดแจ้ง อันผู้บริจาคกำหนดได้เองว่าเป็นประโยชน์แท้จริง สมเหตุสมผลและตรงใจตน สมควรบำรุงเพียงใดหรือไม่และมีระบบวิธีดำเนินงานรัดกุมเป็นระเบียบ ควรแก่ความมั่นใจว่า จักจัดการให้สำเร็จสมตามวัตถุประสงค์ได้ การให้อย่างนี้จึงจัดว่าเป็น วิเจยฺย ทานํ การให้ด้วยปัญญาอันเป็นที่สรรเสริญในทางศาสนา
๓. การประพฤติธรรม บำเพ็ญประโยชน์ต่าง ๆ นี้ จัดเป็นขุมทรัพย์ที่สูงสุด คือ บุญนิธิหรือ อนุคามิกนิธิ นิธิติดตามตน ให้สำเร็จผลที่ปรารถนาทุกอย่าง ตั้งแต่โลกิยสมบัติถึงนิพพานสมบัติ การบริจาคทานแก่มูลนิธินั้น จึงเป็นนิธิอยู่ในตัวเองแล้ว คือเป็นบุญนิธิ
๔. วัตถุประสงค์ต่าง ๆ ของมูลนิธิ ซึ่งเป็นการบำเพ็ญกุศลสาธารณประโยชน์ เช่น บำรุงการศึกษาเล่าเรียน สนับสนุนการฝึกอบรมศีลธรรม รักษาวัฒนธรรม และส่งเสริมการปฏิบัติธรรม เป็นต้น แต่ละอย่างยิ่งเป็นขุมทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งในขุมทรัพย์ ๔ ประเภทที่กล่าวแล้วอยู่ในตัว ฉะนั้น ถ้าบำรุงส่งเสริมมูลนิธิจึงเท่ากับได้สร้างและช่วยผู้อื่นสร้างขุมทรัพย์ทั้ง ๔ ประเภทนั้นขึ้นอีกต่อหนึ่ง เป็นการสร้างขุมทรัพย์ขึ้นทีเดียวหลายชั้น
๕. ผลดีอันใดที่เกิดจากการบำเพ็ญประโยชน์ของมูลนิธินั้น ผู้บำรุงมูลนิธิย่อมชื่อว่ามีส่วนด้วย ถ้ามีผู้ใดอาศัยมูลนิธินั้นได้รับการศึกษามีความรู้มีคุณธรรม ประพฤติดีงามบำเพ็ญประโยชน์แก่พระศาสนาและประเทศชาติ ผู้บำรุงมูลนิธิก็ชื่อว่าได้มีส่วนสร้างบุคคลผู้นั้น และมีส่วนบำเพ็ญประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย เมื่อพระสงฆ์ได้รับประโยชน์จากมูลนิธินั้นแล้ว สามารถบำเพ็ญสมณธรรม ปฏิบัติศาสนกิจดำรงสืบต่ออายุพระศาสนาไว้ ผู้บำรุงมูลนิธินั้นก็ชื่อว่าได้ร่วมดำรงและสืบต่ออายุพระศาสนาด้วย
๖. เมื่อมูลนิธินั้น ไม่ใช้เงินต้นทุน นำเอาแต่ดอกผลไปบำเพ็ญประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ และให้ผู้บริจาคตั้งทุนมูลนิธิมีชื่อตามที่ตนประสงค์ไว้ในมูลนิธิใหญ่นั้นได้ด้วย มูลนิธินั้น ย่อมเป็นการถาวรยั่งยืนนาน ทุนมูลนิธิของผู้บริจาคนั้นจะคงอยู่ตลอดไป ตราบเท่าที่มูลนิธินั้นยังดำรงอยู่ ฝากชื่อและความดีไว้เป็นอนุสรณ์ และเป็นเกียรติคุณแก่วงศ์ตระกูลชั่วกาลนาน อีกประการหนึ่ง เมื่อมูลนิธินั้นนำดอกผลออกมาทำบุญ บำเพ็ญกุศลตามวัตถุประสงค์ครั้งใด ผู้บริจาคนั้นชื่อว่าได้ทำบุญบำเพ็ญกุศลทุกคราวไปจะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม สิ้นชีวิตแล้วก็ตาม ย่อมมีโอกาสทำบุญกุศลเรื่อยไปไม่รู้จักสิ้นสุด
ในประเทศชาติใด ประชาชนเป็นผู้มีจิตใจเปี่ยมด้วยศรัทธา ใฝ่ในการบำเพ็ญกุศลสาธารณประโยชน์ และประกอบด้วยปัญญา รู้จักพิจารณาที่จะเป็นประโยชน์มีสายตากว้างไกล มองเห็นส่วนที่จะเป็นผลดี และเกื้อกูลกว้างขวาง คงอยู่ยาวนาน เป็นผู้บำเพ็ญทานและกุศล
ทั้งปวงด้วยความพินิจพิจารณาเช่นนั้น ประเทศชาตินั้นย่อมมีแต่จะเจริญก้าวหน้า แผ่ไพศาลและศาสนาก็จะรุ่งเรืองมั่นคง ทั้งจักมีโอกาสเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายในถิ่นฐานอื่น ๆ ด้วย ก็แลการที่จะให้เกิดผลทั้งนี้ได้ ย่อมต้องให้อาศัยสังฆทาน และวิจัยทานเป็นต้น