ศูนย์รวมคำสอนรัชกาลที่ ๙

69 คําสอนของในหลวง ‘ ครองแผ่นดินโดยธรรม ’


     1. “…ถ้าประชาชนไม่ละทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งประชาชนอย่างไรได้...” ความตั้ง พระราชหฤทัยในการดูแล อาณาประชาราษฎร์มีมาตั้งแต่ทรงขึ้นครองสิริราชสมบัติดังพระราชบันทึกเมื่อครั้ง เสด็จฯ ไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2489 จากบทพระราชนิพนธ์ เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์ (จากหนังสือ ‘ความรักของพ่อ’ หน้า 117) นอกจากนี้มีความตอน หนึ่งจาก พระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีไปถึงพระสหายในต่างประเทศภายหลังจากที่ เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติว่า “เมื่อข้าพเจ้าเป็นนักเรียนยุโรป ข้าพเจ้าไม่เคยตระหนักว่าประเทศของข้าพเจ้า คืออะไร และเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าแค่ไหน ไม่ทราบจนกระทั่งข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะรักประชาชนของข้าพเจ้า เมื่อได้ติดต่อกับเขาเหล่านั้น ซึ่งทําให้ข้าพเจ้าสํานึกในความรักอันมีค่ายิ่ง ข้าพเจ้าไม่เป็นโรคคิดถึงบ้านที่จริงจัง อะไรนัก แต่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้การทํางานที่นี่ว่า... ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้คือการที่ได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของ ข้าพเจ้า นั้นคือคนไทยทั้งปวง” (จากหนังสือ ‘ความรักของพ่อ’หน้า 178) 

     2. “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” พระปฐมบรมราชโองการ ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง เนื่องในการพระราชพิธี บรมราชาภิเษก วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 เป็นพระปฐมบรมราชโองการที่มีชื่อเสียงที่สุด และการ เวลาได้พิสูจน์ว่าทรงทําตามที่ทรงสัญญาไว้กับพสกนิกรทุกประการ 

     3. “…การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจําเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบ ปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทอง หลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้… ” พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 

     4. “…การทําความดีนั้น โดยมากเป็นการเดินทวนกระแสความพอใจและความต้องการของมนุษย์ จึงทําได้ยากและเห็นผลช้า แต่ก็จําเป็นต้องทํา เพราะหาไม่ ความชั่ว ซึ่งทําได้ง่ายจะเข้ามาแทนที่แล้วจะ พอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้สึกตัว...” พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานกระบี่และปริญญาบัตรแก่ ว่าที่ร้อยตํารวจตรีฯ โรงเรียนนายร้อยตํารวจฯ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2529 และจากโครงการปิดทองหลัง พระ สืบสานแนวพระราชดําริที่ได้ดําเนินแนวทางในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศตามภูมิสังคม อย่าง ยั่งยืนตามแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทําให้เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มีมติ คณะรัฐมนตรีเพื่อฉลองพระชนมายุครบ 80 และ 84 พรรษาของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ให้ดําเนินการ จัดตั้ง ‘มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดําริ’ และ ‘สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลัง พระ สืบสานแนวพระราชดําริ’ เพื่อให้ประชาชนสามารถเรียนรู้ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริและ เพื่อยกระดับฐานะความเป็นอยู่ ส่งเสริมอาชีพประชาชน รวมทั้งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ และกระตุ้น จิตสํานึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และศิลปวัฒนธรรมไทย 

     5. “…ข้อสังเกตที่ประทับใจข้าพเจ้า ในระหว่างที่อยู่ในประเทศต่างๆ เหล่านี้ (หลังเสด็จฯ เยือน ต่างประเทศ) ข้อหนึ่งนั้นก็คือประเทศไหน ประชาชนพลเมืองมีความสามัคคีกลมเกลียวกันดีมีระเบียบ วินัยดีประเทศนั้นก็เจริญและอยู่ในฐานะดียิ่งมีความสมัครสมานกลมเกลียวกันมากก็ยิ่งเจริญมาก... ย่อมเป็นปัจจัยสําคัญอันหนึ่งที่จะช่วยนําประเทศชาติสู่ความพัฒนาถาวร...” พระราชดํารัสเนื่องในโอกาสเสด็จออกให้ประชาชนเข้าเฝ้าฯ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2504 

     6. “…ชาติบ้านเมือง คือ ชีวิตเลือดเนื้อ และสมบัติของเราทุกคน และการดํารงรักษาชาติประเทศ นั้นมิใช่หน้าที่ของบุคคลผู้ใดหมู่ใดโดยเฉพาะ หากแต่เป็นหน้าที่ของทุกๆฝ่าย ทุกๆ คน ที่จะต้องร่วมมือ กระทําพร้อมกันไปโดยสอดคล้องเกื้อกูลกัน...” พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีตรวจพลสวนสนามเนื่องในโอกาส พระราชพิธีรัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2514 

     7. “…ความสามัคคีนั้นอาจหมายความถึงเห็นชอบเห็นพ้องกันโดยไม่แย้งกันความจริงงานทุกอย่าง หรือการอยู่เป็นสังคมย่อมต้องมีความแย้งกันความคิดต่างกัน ซึ่งไม่เสียหาย แต่อยู่ที่จิตใจของเรา ถ้าเราใช้ หลักวิชาและความปรองดองด้วยการใช้ปัญญา การแย้งต่างๆ ย่อมเป็นประโยชน์ถ้ามีรากฐานของ ความคิดอย่างเดียวกัน รากฐานของความคิดนั้นคือแต่ละคนจะต้องทําให้บ้านเมืองมีความสุขมีเป็นปึกแผ่น ...” พระราชดํารัชของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2517 

     8. “…สามัคคีนี้ก็คือการเห็นแก่บ้านเมือง และช่วยกันทุกวิถีทาง เพื่อที่จะสร้างบ้านเมืองให้ เข้มแข็ง ด้วยการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และทํางานด้วยการซื่อสัตย์สุจริต ต้องส่งเสริมงานของกัน และกัน และไม่ทําลายงานของกันและกัน มีเรื่องอะไรให้ได้พูดปรองดองกัน อย่าเรื่องใครเรื่องมัน และงานก็ทํางานอย่างตรงไปตรงมา นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม...” พระราชดํารัสที่พระราชทานในพิธีประดับยศนายตํารวจชั้นนายพล เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2519 

     9. “…คนเราอยู่คนเดียวไม่ได้จะต้องอยู่เป็นหมู่คณะและถ้าหมู่คณะนั้นมีความสามัคคีคือเห็นอก เห็นใจซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือในทุกเมื่อ ช่วยกันคิดว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่สมควร สิ่งใดที่จะทําให้นํามาสู่ ความเจริญความมั่นคง ความสุขก็ทําสิ่งใดที่นํามาซึ่งหายนะหรือเสียหายก็เว้น และช่วยกันปฏิบัติทั้งหน้าที่ ทางกายทั้งหน้าที่ทางใจ...” พระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานธงประจํารุ่นลูกเสือชาวบ้าน จังหวัดสระบุรีเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2519 

     10. “…การที่ในประเทศใดมีประชาชนทั้งหมดอยู่ร่วมกันโดยสันติก็เป็นสิ่งที่ปรารถนาของทุกคน ไม่มีใครอยากให้มีความวุ่นวายในหมู่คณะในประเทศชาติเพราะว่าถ้ามีความวุ่นวายนั้นเป็นความทุกข์ ทุกคนต้องการความสุข หากความสุขนั้นก็จะมาจากความปรองดอง และความที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปโดย ยุติธรรม...” พระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่รองประธานศาลฎีกานําผู้พิพากษาประจํา กระทรวงเข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2537 

     11. “…ถ้าทํางานด้วยความตั้งใจที่จะให้ให้งาน ที่จะให้เกิดผลอันยิ่งใหญ่ คือความเป็นปึกแผ่นของ ประเทศชาติด้วยความสุจริตใจและด้วยความตั้งใจที่จะแผ่ความรู้แผ่ความสามารถด้วยจริงใจไม่นึกถึงเงิน ทองหรือนึกถึงผลประโยชน์ใดๆ ก็เป็นการทําหน้าที่โดยตรงและได้ทําหน้าที่ โดยเต็มที่...” พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 

     12. “…มานึกดูว่า ในเมืองไทยนี้การปกครองบ้านเมืองก็ทํามาคล้ายเป็นตํารามาตั้งแต่ต้น ไม่ได้ใช้ ตําราต่างประเทศมากเท่าไรเลย ที่เมืองไทยเราอยู่มาได้จนทุกวันนี้ก็เพราะใช้ตําราของเราเอง เรามีวิธี ปกครองหลายวิธี...หลายประเทศในโลกมีนิสัยใจคอของตัวมีความเป็นประเทศของตัวมาช้านานแล้ว... การปกครองของเมืองไทยเราก็ไม่ใช่ว่าจะต้องหยุดนิ่งคงเดิมอยู่เสมอ ต้องเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน แต่ต้อง เปลี่ยนแปลงด้วยเหตุผล...” พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่คณะกรรมการจัดการแข่งขันฟุตบอล ‘ส.ส. มหากุศล’ ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2512 

     13. “…ถ้าทุกคนสนใจในความรักประเทศชาติรักษาความดีเอาไว้ไม่ต้องไปตามอย่างในสิ่งที่เรา เห็นว่าไม่น่าที่จะเจริญไม่น่าจะพัฒนา เราต้องรักษาแนวทางความคิดตามที่เรามีอยู่แม้จะเป็นสิ่งที่ตกทอด มาตั้งแต่โบราณกาลจากปู่ย่าตายายของเรา แต่เป็นระเบียบการหรือเป็นวิธีการที่ดีจะไม่ล้าสมัย” พระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมวิทยาลัยวิชาการศึกษา ประสานมิตร เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2514 (จาก http://news.ch7.com) 

     14. “… คนไทยรักษาชาติรักษาแผ่นดินเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาได้ด้วยสติปัญญาความสามารถและ ด้วยคุณงามความดีอิสรภาพ เสรีภาพ ความร่มเย็นเป็นสุข ตลอดจนความเจริญ ทุกอย่างที่มีอยู่บัดนี้ เราทั้งหลายในปัจจุบัน จึงต้องถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบอย่างสําคัญ ในอันที่จะรักษาคุณความดีพร้อมทั้ง จิตใจที่เป็นไทย ไว้ให้มั่นคงตลอดไป ...” พระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จออกมหาสมาคมในงานพระราชพิธี เฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2521 

     ๑๕. “...รัฐก็คือประเทศชาติส่วนกลาง และมนตรีของรัฐนั้นก็เป็นผู้ใหญ่ของรัฐ เป็นผู้ที่สามารถที่ จะรับความรู้และนําความรู้นั้นมาปฏิบัติทั้งหมดนี้นอกจากจะมีความตั้งใจมั่นแล้ว ก็ต้องมีความตั้งใจ ตามที่ได้ปฏิญาณว่าจะซื่อสัตย์สุจริต ซื่อสัตย์สุจริตนี้มีความสําคัญ เพราะถ้าหากว่าแต่ละคนมีความตั้งใจ แล้ว แต่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ก็ไม่มีเป้าหมายที่แน่นอน จะเปะปะไปทางโน้นทีทางนี้ทีไม่มีทางที่จะ สําเร็จในงานการใดๆ...” พระราชดํารัสในโอกาสที่ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรี เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2526 

     ๑๖. “....พระพุทธศาสนาแสดงความจริงของชีวิต แสดงทางปฏิบัติที่จะให้บรรลุความสุข สูงสุด ของชีวิต มีวิธีการสั่งสอนที่ยึดหลักเหตุและผลว่า ทุกสิ่งเกิดจากเหตุ ผู้ใดประกอบเหตุอย่างใด เพียงใด ก็ได้ผลอย่างนั้น เพียงนั้น...” พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2513 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงน้อมนําเอาหลักศาสนามาอยู่ในพระบรมราโชวาทและพระราช ดํารัสเสมอๆ เพราะมีพระราชศรัทธาปสาทะอันแน่วแน่มั่นคงในบวรพุทธศาสนา โดยได้เสด็จออกทรงพระ ผนวช ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม ถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2499 ในระหว่างนั้น ได้ทรงศึกษาและปฏิบัติตาม พระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกได้ทรงกล่าวถึง พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวว่า ... “ทรงปฏิบัติพระองค์ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรมของพระพุทธศาสนา มีราชธรรม ทรงศึกษาพระพุทธศาสนา และทรงนําไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ทรงบําเพ็ญพระราชกุศล เป็นการส่วนพระองค์ในโอกาสต่างๆ และบํารุง พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นจํานวนมากมิได้ขาด ส่วนในด้านหน้าที่ราชการนั้น ก็ทรงปฏิบัติ พระราชกรณียกิจทางพระพุทธศาสนาตามราชประเพณีโดยมิได้ขาดตกบกพร่อง เช่น พระราชกรณียกิจ เนื่องในเทศกาลสําคัญทางพระพุทธศาสนา พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ในบูรณปฏิสังขรณ์พระอาราม ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และในหัวเมือง พระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์แด่พระสงฆ์ในการเอื้ออํานวยแก่การ ปกครองคณะสงฆ์และเชิดชูผู้ทรงศีลทรงธรรมให้เป็นที่ปรากฏ ตลอดถึงพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์การ สั่งสอน และการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ” 

     ๑๗. “...ถ้าเราสะสมเงินให้มาก เราก็สามารถที่จะใช้ดอกเบี้ย ใช้เงินที่เป็นดอกเบี้ยโดยไม่แตะต้อง ทุน ถ้าเราใช้มากเกินไปหรือเราไม่ระวัง เรากินเข้าไปเป็นทุน ทุนมันก็น้อยลงๆ จนหมด...” พระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2518 

     ๑๘. “...การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง และครอบครัว ช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผู้ที่ ประหยัดเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย...” พระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2502 

     ๑๙. “...ประเทศ หรือสังคมจะอยู่ได้ก็เพราะมีผู้ที่ให้คือ ในหมู่มนุษย์ต้องมีพวกที่ให้และพวกที่รับ พวกที่ให้สําคัญที่สุด ได้แก่ บิดา มารดา ต่อมาก็มีครูบาอาจารย์ผู้ที่ให้นั้น เพราะได้รับก่อนจึงให้ได้ทุกคน เกิดมาได้ก็เพราะได้รับการกําเนิดจากบิดามารดา ได้มาเป็นครูบาอาจารย์ก็เพราะได้รับวิชาความรู้ ตกทอดลงมา...” พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่ศึกษาธิการจังหวัดและผู้ตรวจการศึกษา ทั่วราชอาณาจักร ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2511 

     ๒๐. “...เราเป็นนักเรียน เราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ... ถ้าหากว่าในด้านไหนก็ตาม เวลาไปปฏิบัติให้ถือว่า เราเป็นนักเรียน ชาวบ้านเป็นครูหรือ ‘ธรรมชาติเป็นครู’ การที่ท่านทั้งหลายจะออกไป ก็จะไปหลายๆด้าน ... ก็จะต้องเข้าใจว่า เราอาจจะเอาความรู้ไปให้เขา แต่ก็ต้องนับถือความรู้ของเขาด้วย จึงจะมีความสําเร็จ ...” พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่บัณฑิตอาสาสมัครพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยขอนแก่น ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดําริอําเภอเมือง จังหวัด สกลนคร เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2528 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สนพระราชหฤทัยในเรื่องการถ่ายทอดวิชาการ การศึกษา ผู้ให้และผู้รับ ดังพระบรมราโชวาทข้างต้น ทรงมีกตัญญูกตเวทิตา ต่อพระบรมราชชนก พระบรมราชชนนี และพระอาจารย์ดังเป็นที่ทราบกันทั่วไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนักประชาธิปไตย ทรงเปิดโอกาสให้ทุกฝ่าย ทั้งสาธารณชน ประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ได้เข้ามาร่วมกันแสดงความ คิดเห็น และร่วมกันทํางานโดยคํานึงถึงความคิดเห็นของประชาชน หรือความต้องการของสาธารณชนด้วย 

     ๒๑. “...ผู้มีหน้าที่สื่อข่าวก็ดีหรือมีหน้าที่ประสานความเข้าใจ ระหว่างคนหลายชาติหลายชั้นก็ดี ควรสํานึกอยู่เสมอว่า งานของเขาเป็นงานสําคัญและมีเกียรติสูง เพราะหมายถึงความรับผิดชอบ อันยิ่งใหญ่ในการร่วมกันสร้างสันติสุขให้แก่โลก การแพร่ข่าวโดยขาดความระมัดระวังหรือแม้แต่คําพูด ง่ายๆ เพียงนิดเดียว ก็สามารถทําลายงานที่ผู้มีความปรารถนาดีทั้งหลายพยายามสร้างไว้ด้วยความ ยากลําบาก เป็นเวลาแรมปีหากจะแก้ตัวว่าการพูดพล่อยๆ เพียงสองสามคํานี้เป็นเรื่องเล็กไม่น่าจะเก็บ มาถือเป็นเรื่องใหญ่เลยก็ไม่ถูก เหมือนฟองอากาศนิดเดียว ถ้าเข้าไปอยู่ในเส้นเลือด ก็จะสามารถปลิดชีวิต คนได้ทั้งคน และน้ําตาลหวานๆ ก้อนเล็กนิดเดียวถ้าใส่ลงไปในถังน้ํามันรถ ก็จะทําให้เครื่องจักรดีๆ ของรถ เสียได้โดยสิ้นเชิง...” พระราชดํารัสในการถวายเลี้ยงพระกระยาหารค่ํา ที่พิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิแตนระหว่างเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2510 อนึ่ง...เกี่ยวกับการสื่อสารมวลชน ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทและพระราชดํารัสการมีสิทธิ เสรีภาพ และการเสนอข่าวสารข้อมูลไว้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน 

     ๒๒. “...การมีเสรีภาพนั้นเป็นของดีอย่างยิ่ง แต่เมื่อจะใช้จําเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและ ความรับผิดชอบมิให้ล่วงละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น ที่เขามีอยู่เท่าเทียมกัน ทั้งมิให้กระทบกระเทือนถึง สวัสดิภาพและความเป็นปกติสุขของส่วนรวมด้วย มิฉะนั้น จะทําให้มีความยุ่งยากจะทําสังคมและ ชาติประเทศต้องแตกสลายโดยสิ้นเชิง ...” พระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแถลงการณ์สภาการวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติตาม แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (สวชพ.) เรื่อง ‘การใช้เสรีภาพเพื่อการปรองดองสมานฉันท์’ เนื่องในวันนักข่าว เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2520 

     ๒๓. “...จิตใจและความประพฤติที่สะอาดและมีระเบียบ เป็นรากฐานสําคัญของชีวิตจิตใจ ทั้งประพฤติดังนั้นใช่จะเกิดมีขึ้นเองได้หากแต่จําเป็นต้องฝึกหัดอบรม และสนับสนุนส่งเสริมกัน อย่างจริงจัง สม่ําเสมอ นับตั้งแต่บุคคลเกิด ดังที่มนุษย์ไม่ว่าชาติใดภาษาใด ได้เฝ้าพยายามกระทําสืบต่อ กันมาทุกยุคทุกสมัย ทั้งเพื่อให้สามารถรักษาตัว และมีความสุข ความสําเร็จในการครองชีวิต ทั้งให้ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วยความผาสุก สงบ...” พระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่านในพิธีเปิดการสัมมนา ของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศ เรื่องการพัฒนาสังคมในด้านศีลธรรมและจิตใจ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2516 

     ๒๔. “...ความเข้มแข็งในจิตใจนี้เป็นสิ่งที่สําคัญที่จะต้องฝึกฝนแต่เล็ก เพราะว่าต่อไปถ้ามีชีวิตที่ ลําบากไปประสบอุปสรรคใดๆ ถ้าไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความรู้ไม่มีทางที่จะผ่านอุปสรรคนั้นได้เพราะว่า ถ้าไม่เจออุปสรรคอะไร ก็ไม่มีอะไรที่จะมาช่วยเราได้แต่ถ้ามีความรู้มีอัธยาศัยที่ดีและมีความเข็มแข็ง ในกาย ในใจ ก็สามารถที่จะผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆนั้นได้...” พระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียนโรงเรียน ราชวินิต เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2518 

     ๒๕. “...การรักษาความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายเป็นปัจจัยของเศรษฐกิจที่ดีและสังคม ที่มั่นคง เพราะร่างกายที่แข็งแรงนั้น โดยปกติจะอํานวยผลให้สุขภาพจิตใจสมบูรณ์และเมื่อมีสุขภาพ สมบูรณ์ดีพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ย่อมมีกําลังทําประโยชน์สร้างสรรค์เศรษฐกิจและสังคมของ บ้านเมืองได้เต็มที่ ทั้งไม่เป็นภาระแก่สังคมด้วย คือเป็นผู้แต่งสร้างมิใช่ผู้ถ่วงความเจริญ...” พระบรมราโชวาทในพระราชพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2522 

     ๒๖. “...คุณธรรมที่ทุกคนควรจะศึกษาและน้อมนํามาปฏิบัติอยู่ที่สี่ประการ “ประการแรก คือ การรักษาความสัตย์ ความจริงใจต่อตัวเองที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่เป็นธรรม “ประการที่สอง คือ การรู้จักข่มใจตัวเอง ฝึกตนเองให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในความสัจความดีนั้น “ประการที่สาม คือ การอดทน อดกลั้น และอดออมที่ไม่ประพฤติล่วงความสัจสุจริต ไม่ว่าจะด้วยเหตุ ประการใด “ประการที่สี่ คือ การรู้จักระวางความชั่ว ความทุจริต และรู้จักสละประโยชน์ส่วนน้อย ของตนเอง เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง คุณธรรมสี่ประการนี้ถ้าแต่ละคนพยายามปลูกฝังและ บํารุงให้เจริญงอกงามขึ้นโดยทั่วกันแล้ว จะช่วยให้ประเทศชาติบังเกิดความสุข ความร่มเย็น และมีโอกาส ที่จะมีโอกาสที่จะปรับปรุงพัฒนา ให้มั่นคงก้าวหน้าต่อไป ได้ดังประสงค์....” พระราชดํารัสในพิธีบวงสรวง สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เนื่องในการพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปีเมื่อ พ.ศ.2525 

     ๒๗. “...หลักของคุณธรรมคือ การคิดด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ก่อนจะพูดจะทําสิ่งไร จําเป็นต้อง หยุดคิดเสียก่อน เพื่อรวบรวมสติให้ตั้งม่ัน และจิตสว่างแจ่มใส ซึ่งเมื่อฝึกหัดคุ้นเคยชํานาญแล้ว จะกระทํา ได้คล่องแคล่วช่วยให้สามารถแสดงความรู้ความคิดในเรื่องต่างๆ ให้ผู้ฟังได้เข้าใจได้ง่าย ได้ชัด ไม่ผิด ทั้งหลักวิชา ทั้งหลักคุณธรรม...” พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2535 

     ๒๘. “...ท่านเป็นผู้ที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับราษฎรในท้องที่ของท่านมาอย่างใกล้ชิด ย่อมเข้าถึง จิตใจและความต้องการของเขาเหล่านั้นได้ดีกว่าผู้ที่อยู่ห่างไกล ราษฎรย่อมจะต้องหวังพึ่งท่าน เมืองมี ความเดือดร้อน ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงหวังว่าท่านทั้งหลายจะเอาใจใส่ดูแลความเป็นอยู่ของเขาให้มาก และ ทําตัวเองให้เป็นที่พึ่งแก่เขาสมกับที่เขาได้ไว้วางใจเลือกท่านมาเป็นหัวหน้า จงพยายามบําเพ็ญตนให้ สมกับตัวอักษรที่ตราหน้าหมวกเครื่องแบบของท่านที่ว่า ...ระงับทุกข์บํารุงสุข...” พระราชดํารัสที่พระราชทานในการอบรมกํานันผู้ใหญ่บ้านในเขตชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2505 

     ๒๙. “...การนําความเจริญการพัฒนาไปสู่ชนบท หมายถึงไปสู่ประชาชนในชนบทนั้น มีเหตุผล หลายประการ เหตุผลใหญ่ที่สุดข้อแรก ก็คือมนุษยธรรม ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ร่วมประเทศ กับเรา...เหตุผลที่สองที่จะต้องพัฒนาชนบทนั้นคือ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของบ้านเมือ ง เพื่อความก้าวหน้านอกเหนือจากมนุษยธรรม” พระราชดํารัสที่พระราชทานแก่คณะผู้บริหารสํานักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2512 

     ๓๐. “...ในปัจจุบันนี้ศัตรูของเรามาในรูปการก่อการร้าย มาด้วยอาวุธก็มาก แต่มาในรูปการ ก่อการร้ายด้วยการยุยงให้แตกแยกกันก็มากเหมือนกัน และไม่ใช่ตามชายแดน ในเมืองใหญ่ๆในภาคต่างๆ ทุกภาคแม้แต่ภาคกลางนี้แม้แต่กรุงเทพฯนี้ก็มีการแทรกซึมและการยุแหย่ให้เกิดแตกสามัคคีให้เกิด ความยุ่งยาก เป็นสงครามสมัยใหม่ ขอให้พิจารณาดูถ้าทุกคนเข้มแข็ง มุ่งหน้าที่จะเรียน และมุ่งหน้าที่ จะตั้งตัวเป็นคนดีก็เท่ากับทุกคนเป็นทหารทั้งชายหญิง ช่วยบ้านเมืองให้ดํารงอยู่และเมื่อบ้านเมืองดํารง อยู่แล้ว เอกชนทุกคน ก็จะอยู่ได้ด้วยความผาสุก” พระราชดํารัสที่พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงานชุมนุมนักศึกษาชาวเหนือ “ชาวเหนือบอล” ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2513 

     ๓๑. “... ความเจริญของคนทั้งหลาย ย่อมเกิดมาจากประพฤติชอบและการหาเลี้ยงชีพชอบ เป็นหลักสําคัญ ผู้ที่จะสามารถประพฤติชอบ และหาเลี้ยงชีพชอบได้ด้วยนั้น ย่อมจะมีทั้งวิชาความรู้ ทั้งหลักธรรมทางศาสนา เพราะสิ่งแรกเป็นปัจจัยสําคัญสําหรับใช้กระทําการทํางาน สิ่งหลัง เป็นปัจจัย สําคัญสําหรับส่งเสริมความประพฤติและการปฏิบัติงานให้ชอบคือให้ถูกต้องและเป็นธรรม” พระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ครูโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนา อิสลาม 4 จังหวัดภาคใต้จังหวัดปัตตานีเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2519 

     ๓๒. “... ขอให้คิดถึงประชาชนเหมือนลูก ขอให้ทหารช่วยดูแลประชาชนนอกเหนือจากเจ้าหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติในการป้องกันประเทศ...” พระราชกระแสรับสั่งแก่พันเอก อาทิตย์กําลังเอก ผู้บังคับการกรมผสมที่ 23 และพันโท พิศิษฐ์ เหมาะบุตร ผู้บังคับกองพันทหารราบเฉพาะกิจ กรมผสมที่ 23 ในการเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมหน่วยรบเฉพาะกิจ ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการที่ภูพานน้อย อ.นาแก จังหวัด นครพนม เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ.2516 

     33. “... ความจงรักภักดีในชาตินั้น คือความสํานึกตระหนักในความเป็นไทย ในอิสรภาพ และ ในหน้าที่ที่จะธํารงรักษาชาติประเทศไว้ให้เป็นอิสระมั่นคง” พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่ทหารรักษาพระองค์ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนาม ของทหารรักษาพระองค์เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดํารัสเกี่ยวกับการทํางานหาเลี้ยงชีพของประชาชน ทั่วไป แนวทางปฏิบัติในการทํางานเพื่อให้ประสบความสําเร็จตลอดเสมอมาจนทําให้คนไทยนําพระราชดํารัส ของพ่อหลวงมาเป็นแนวทางในการดํารงชีพและเป็นหลักในการดํารงชีพและเป็นหลักในการดํารงชีวิตจน ประสบความสําเร็จเป็นที่ประจักษ์แล้ว 

     ๓๔. “รู้ไหมว่าทําไมโดมิโนจึงมาหยุดที่เมืองไทย ... เพราะสังคมไทยและคนไทยนั้นยังเป็นสังคม ที่ให้กันอยู่ บ้านเมืองสงบลงได้เพราะเรา ‘ให้’ กับแผ่นดิน” (ทฤษฎีโดมินาของประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ ของสหรัฐอเมริกาที่อุปมาจากลักษณะเกมโดมิโน หากตัวหนึ่งตัวใดล้ม ตัวอื่นๆ จะล้มตามเป็นลูกโซ่ กล่าวคือ คาดว่าประเทศไทยจะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามประเทศอื่นที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ลาว กัมพูชา ฯลฯ) พระราชดํารัสพระราชทานแก่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา จากหนังสือ ‘ร้อยเรื่องเล่า : เกร็ดการทรงงาน’ 

     35. “...การสังคมสงเคราะห์นั้น มีความหมายกว้างขวางมาก กินความถึงการดําเนินการทุกอย่างที่ จะช่วยเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์หรือกลุ่มชนที่ร่วมกันเป็นสังคม เป็นชาติและผู้ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ให้มี ความสุข ทั้งทางกายและจิตใจ ให้ได้มีปัจจัยอันจําเป็นแก่การครองชีพ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการบําบัดโรคภัยไข้เจ็บ ได้รับการศึกษาอบรมตามควร ตลอดจนมีความรู้ที่จะนํามาเลี้ยงชีพโดยสุจริต เพื่อความเรียบร้อย และความเป็นปึกแผ่นของสังคม...” พระราชดํารัสในพิธีเปิดการประชุมการสังคมสงเคราะห์แห่งชาติครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2505 

     36. “...ในการพัฒนาประเทศนั้น จําเป็นต้องทําตามลําดับขั้น เริ่มด้วยการสร้างพื้นฐานคือความ มีกินมีใช้ของประชาชนก่อนด้วยวิธีการที่ประหยัดระมัดระวัง แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อพื้นฐานเกิดขึ้น มั่นคงพอควรแล้ว จึงค่อยสร้างเสริมความเจริญขั้นที่สูงขึ้นตามลําดับต่อไป... ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาด ล้มเหลวและเพื่อให้บรรลุผลสําเร็จแน่นอนบริบูรณ์...” พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2517 

     37. “...มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ก็ได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับมูลนิธิชัยพัฒนาในการช่วยเหลือ ประชาชน ซึ่งประสบความเดือดร้อนและอาจประสบความเดือดร้อนในอนาคต เพื่อที่จะให้เขามีความ มั่นใจว่า วันนี้อาจยังไม่เดือดร้อน แต่วันหน้าถ้าเดือดร้อนก็จะมีคนช่วยเหลือ...” พระราชดํารัส ในโอกาสที่ประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์นําคณะกรรมการ บริหารมูลนิธิฯ และนักเรียนทุนพระราชทาน เข้าเฝ้าฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2539 

     ๓๘. “...(Our loss is our gain) ‘ขาดทุนของเราเป็นกําไรของเรา หรือ เราขาดทุนเราก็ได้กําไร’ ...การเสีย คือการได้ประเทศชาติก็จะก้าวหน้า และการที่คนอยู่ดีมีสุข เป็นการนับที่เป็นมูลค่าเงินไม่ได้...” พระราชดํารัสที่ พระราชทานแก่ตัวแทนของปวงชนชาวไทยที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรเนื่องในโอกาส เฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิตดาลัยสวนจิตรลดา เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๔ 

     ๓๙. “...ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้า ใส่เอง อย่างนั้นมันมากเกินไป แต่ในหมู่บ้านหรือในอําเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการ ก็ขายได้แต่ในที่ไม่ห่างไกลเท่าไหร่ ไม่ต้องเสียค่าขนส่ง มากนัก ...มีเงินเดือนเท่าไหร่จะต้องใช้ภายในเงินเดือน...กู้เงินนั้น เงินจะต้องให้เกิดประโยชน์มิใช่กู้สําหรับ ไปเล่น ไปทําอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์...” พระราชดํารัสในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๐ 

     ๔๐. “...เศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่สองอย่าง...จะทําความเจริญให้แก่ประเทศได้แต่ต้องมี ความเพียร แล้วต้องอดทนต้องไม่ใจร้อน ต้องไม่พูดมาก ต้องไม่ทะเลาะกัน ถ้าทําโดยเข้าใจกัน เชื่อว่า ทุกคนจะมีความพอใจได้...คําว่าพอเพียง มีความหมายว่าพอมีพอกินเศรษฐกิจแบบพอเพียง หมายความว่า ผลิตอะไรมีพอที่จะใช้ไม่ต้องขอยืมคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง...คําว่าพอ คนเราถ้าพอใน ความต้องการ มันก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย พอเพียงอาจมีมาก อาจมีของหรูหราก็ได้แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น...” พระราชดํา รัสพระราชทานในโอกาสที่คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๑ 

     ๔๑. “...เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มและลืมเสาเข็มด้วยซ้ําไป...” พระราชดํารัสจากวารสารชัยพัฒนา ประจําเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๒ 

     ๔๒. “... การสื่อสารเป็นปัจจัยที่สําคัญยิ่งอย่างหนึ่งในการพัฒนาสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า รวมทั้งรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศด้วย ยิ่งสมัยปัจจุบันที่สถานการณ์ของโลก เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ย่อมมีความสําคัญมากเป็นพิเศษ ทุกฝ่ายและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารของประเทศ จึงควรจะได้ร่วมมือดําเนินงานและ ประสานผลงานกันอย่างใกล้ชิดและสอดคล้อง สําคัญที่สุดควรจะได้พยายามศึกษาค้นคว้าวิชาการและ เทคโนโลยีอันทันสมัยให้ลึกและกว้างขวาง แล้วพิจารณาเลือกเฟ้นส่วนที่ดีมีประสิทธิภาพแน่นอน มาปรับปรุงใช้ด้วยความฉลาดริเริ่ม ให้พอเหมาะพอสมกับฐานะและสภาพบ้านเมืองของเรา เพื่อให้กิจการ สื่อสารของชาติได้พัฒนาอย่างเต็มที่และสามารถอํานวยประโยชน์แก่การสร้างเสริมเศรษฐกิจ สังคม และ เสถียรภาพของบ้านเมืองได้อย่างสมบูรณ์แท้จริง...” พระราชดํารัสที่พระราชทานเนื่องในโอกาสวันสื่อสารแห่งชาติครั้งแรก ณ พระตําหนัก จิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๖ 

     ๔๓. “...วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสําคัญในการสร้างความเจริญของบ้านเมือง จึงควร สนับสนุนให้มีการค้นคิดเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับภาวะและความต้องการของประเทศขึ้นใช้เองอย่าง จริงจัง ถ้าสามารถค้นคิดได้มากเท่าไร จะเป็นการประหยัดและช่วยให้สามารถนําไปใช้ในงานต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นเท่านั้น...” พระราชดํารัสพระราชทานเนื่องในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ พระองค์ทอดพระเนตรถึงความสําคัญของการสื่อสารว่าเป็นปัจจัยสําคัญในการดําเนินธุรกิจทุก ประเภท อีกทั้งเป็นหัวใจในความมั่นคงของประเทศ และเป็นองค์ประกอบสําคัญที่นําพาสู่การพัฒนาประเทศ ให้ประชาชนของพระองค์อยู่ดีกินดีเพราะสามารถพัฒนาประเทศได้ในทุกๆด้าน ไม่เว้นแม้ด้านการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิด “ดาวเทียมไทยคม” ขึ้น นับเป็นจุดเปลี่ยนที่ทําให้การสื่อสารโทรคมนาคมของไทย ก้าวสู่ยุคความล้ําหน้า และได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนองพระราชดําริในเรื่องการศึกษาอันประโยชน์สูงสุด และนั่นได้ทําให้โรงเรียนไกลกังวลที่หัวหินได้กลายเป็นเครือข่ายและเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาไทยคมเกิด การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมที่เปิดโอกาสให้โรงเรียนที่ขาดแคลนครูสามารถดําเนินกิจกรรมการเรียนการ สอนได้เท่าเทียมกันทั่วประเทศด้วย “ครูตู้” ที่สามารถสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาให้มีผู้สําเร็จการศึกษาด้วย ระบบทางไกลผ่านดาวเทียมจากทุกภาคของประเทศ เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาและประสบความสําเร็จ เป็นจํานวนมาก โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุกๆปีซึ่งทั้งหมดเกิดจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวของคนไทยนั่นเอง 

     ๔๔. “...การทําฝนเทียมนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องมีเครื่องอุปกรณ์วัสดุและเจ้าหน้าที่ งานที่ทํานี้ก็ ต้องสิ้นเปลืองไม่ใช่น้อย แต่ถ้าผลที่ได้คือจะเป็นผลที่น่าพอใจ การทําฝนนี้เป็นสิ่งที่ลําบากหลายๆ ประการ ทางด้านเทคนิค และในด้านจังหวะที่จะทําเพราะถ้าพูดถึงด้านเทคนิค ฝนที่ทํานี้จะพลิกฤดูกาล ไม่ได้ไม่ใช่ว่าฝนแล้งจะบันดาลได้อย่างปฏิหาริย์ทําให้มีฝนเพียงพอกับการเพาะปลูกมิได้หรือจะแทนการ ชลประทานที่ขุดเรียบร้อยกว้างขวางก็ไม่ได้แต่เป็นทางหนึ่งที่มีหวัง สําหรับฤดูกาลที่ควรจะมีฝน และ ฝนเทียมจะช่วยให้ประคองพืชผล ไม่ให้สิ้นไปพอได้การทําฝนเทียมนี้เป็นสิ่งที่ใหม่ จึงต้องทําโครงการ อย่างระมัดระวัง เพราะว่าสิ้นเปลือง ถ้าทําแล้วไม่ได้ผลจะสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ...” พระราชดํารัสเกี่ยวกับการโครงการฝนหลวง โครงการในพระราชดําริณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๗ 

     ๔๕. “...ให้กรมชลประทาน ‘พิจารณาความเหมาะสม’ ในการจัดทําทํานบดินกั้นน้ําบริเวณถนน ตากใบ-สุไหงโกลก และที่เกาะสะท้อนเพื่อแก้ไขปัญหาน้ําท่วมเป็นระยะเวลาหลายเดือน...อาจจะแก้ไขได้ โดยการขุดลอกแม่น้ําสุไหงโกลกเป็นช่วงๆ...ขุดคลองระบายน้ําเพื่อช่วยให้น้ําที่ท่วมในฤดูมรสุมมีทาง ระบายลงสู่ทะเลได้รวดเร็วขึ้น...” พระราชดํารัสเมื่อครั้งเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรที่บ้านปาดังยอ ตําบลมูโนะ อําเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๗ 

     ๔๖. “…วันนี้ก็ขอพูดขออนุญาตที่จะพูดเพราะว่าอั้นมาหลายปีแล้ว เคยพูดมาหลายปีแล้ว ในวิธีที่จะปฏิบัติเพื่อที่จะให้มีทรัพยากรน้ําเพียงพอและเหมาะสม คําว่า ‘พอเพียง’ ก็หมายความว่า ให้มี พอในการบริโภคในการใช้ทั้งในด้านการบริโภคในบ้าน ทั้งในการใช้เพื่อการเกษตรกรรม อุตสาหกรรม ต้องมีพอ ถ้าไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างก็ชะงักลง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เราภาคภูมิใจ ว่าประเทศเราก้าวหน้า เจริญก็ชะงัก ไม่มีทางที่จะมีความเจริญ ถ้าไม่มีน้ํา.... “.....โครงการที่คิดจะทํานี้บอกได้ว่าไม่กล้าพูดมาหลายปีแล้ว เพราะว่าจะมีการคัดค้านจาก ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งเหล่านักต่อต้านโครงการ แต่โครงการนี้เป็นโครงการอยู่ในวิสัยที่จะทําได้ไม่จะตองเส ้ ียค่าใช้จ่าย ไม่น้อย แต่ถ้าดําเนินไปเดี๋ยวนี้อีก ๕ – ๖ ปีข้างหน้า เราสบาย และถ้าไม่ทํา อีก ๕ – ๖ ข้างหน้าราคาค่า ก่อสร้างค่าดําเนินการก็จะขึ้นไป ๒ เท่า ๓ เท่า ลงท้ายก็ต้องประวิงต่อไป และเมื่อประวิงต่อไป ก็จะไม่ได้ทําเรา ก็จะต้องอดน้ําแน่จะกลายเป็นทะเลทราย แล้วเราจะอพยพไปที่ไหนก็ไม่ได้....” พระราชดํารัสถึงโครงการเขื่อนกักเก็บน้ําแม่น้ําป่าสัก จังหวัดลพบุรีและจังหวัดสระบุรีโครงการ เขื่อนเก็บน้ําแม่น้ํานครนายก จังหวัดนครนายก โครงการการพัฒนาลุ่มน้ําปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ 

     ๔๗. “...น้ําเป็นสิ่งที่มีชีวิต จะให้เขาพ้นไปไม่ได้ต้องหาที่อยู่ให้เขา อยู่ๆจะปิดกั้นน้ําไม่ให้ไป มันไม่ได้ผิดธรรมชาติต้องหาที่ให้เข้าไป...” พระราชกระแสย้ําเตือนแก่ นายประเสริฐ สมะลาภา ผู้อํานวยการ สํานักการระบายน้ํา กรุงเทพมหานคร ผู้ตามเสร็จฯ ออกตรวจสภาพน้ําท่วมปีพ.ศ.๒๕๒๖ เกี่ยวกับโครงการแก้มลิง 

     ๔๘. “...ทุกปีที่ผ่านมา น้ําลดแล้วก็ลืม ฉะนั้นปีนี้ขอให้เก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้เป็นหลักฐาน ประกอบการแก้ไขในอนาคต ในส่วนพระองค์ก็จะนําข้อมูลเหล่านี้เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้เพื่อเป็นสิ่ง เปรียบเทียบกับปัญหาในอนาคต...” พระราชดํารัสพระราชทานแก่ นายประเสริฐ สมะลาภา ผู้อํานวยการ สํานักการระบายน้ํา กรุงเทพมหานคร ผู้ตามเสด็จฯ ออกตรวจสภาพน้ําท่วมปีพ.ศ.๒๕๒๖ 

     ๔๙. “...ตามปกติเวลาเราให้กล้วยกับลิง ลิงจะเคี้ยวแล้วเก็บไว้ในแก้มลิง...เขาเคี้ยวแล้วเอาไป เก็บในแก้ม น้ําท่วมลงมา ถ้าไม่ทํา ‘โครงการแก้มลิง’ น้ําท่วมนี้จะเปรอะไปหมดอย่างที่เปราะปีนี้เปรอะไป ทั่วภาคกลาง จะต้องทํา‘แก้มลิง’ เพื่อที่จะเอาน้ําปีนี้ไปเก็บไว้...” พระราชดํารัสในโอกาสวันเฉลิม พระชนมพรรษา เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๘ 

     ๕๐. “...ถ้าทําให้อย่างนี้ให้แห้งข้างล่างมาลง ก็ลง ลงไป ก็คือคงเข้าใจว่าทําไมเรามีความหนักใจ แต่ถ้าเห็นด้วย ในการที่จะมาทําให้มันแห้งข้างล่าง เพื่อรับน้ําใดฯ ที่จะลงมาแล้วไอ้ข้างล่างต้องทําเขื่อน อย่างนี้จะแตกต่างเขื่อนที่เราทํามาแล้วในภาคเหนือ ภาคอีสาน หรือภาคใดฯ ที่เก็บน้ําไว้ข้างบน เพื่อจะ เก็บไว้หน้าแล้ง หน้าฝนเก็บไว้ข้างบนไม่ให้ลงมาท่วม หน้าแล้งก็ปล่อยลงมาได้กิน ป่าสักก็ตาม นครนายก ก็ตามแก่งเสือเต้นก็ตาม เก็บน้ําไว้ข้างบน เมื่อจะไม่ให้ท่วมลงมา และเมื่อไม่ท่วมแล้วเขาก็ทํากินได้….” พระราชดํารัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกประชุมข้าราชการที่เกี่ยวข้องเป็นการด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาน้ําท่วมฯ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๘ 

     ๕๑. “…เราจะทําให้ประเทศไทยกลับมีความอุดมสมบูรณ์มีความชุ่มชื่นได้ขออย่าไปรังแกป่า เท่านั้นเอง...” พระราชดํารัสพระราชทานแก่คณะบุคคลที่เข้าเฝ้า ณ ศาลาดุสิตดาลัย เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ 

     ๕๒. “…ดินแข็งเป็นดานอย่างนี้ทําอะไรไม่ได้แต่ถ้าเราปลูกหญ้าแฝกด้วยวิธีการที่เหมาะสม เมื่อฝนตกลงมาความชื้นจะอยู่ในดินบริเวณเรือนรากของหญ้าแฝก ที่ลงรากลึก...เปรียบเหมือนกับกําแพง ธรรมชาติที่มีชีวิตที่จะหยุดยั้งการพังทลายของดิน ชะลอความเร็วของน้ําที่ไหลบ่า สามรถกักเก็บตะกอน ดิน ทําให้เกิดหน้าดินและความชื้นใต้ดิน...จะปลูกผักปลูกหญ้าก็ได้และอีกประการหนึ่งรากของหญ้าแฝก แข็งเป็นพิเศษอาจสามารถเจาะลงในดินที่แข็งเป็นดานได้...” พระราชกระแสระหว่างเสด็จฯ ไปยังโครงการศูนย์ศึกษาพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดําริ เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ 

     ๕๓. “…พื้นที่นี้มีความเสื่อมโทรม ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกรงว่าหากปล่อยทิ้งไว้จะกลายเป็น ทะเลทรายในที่สุด ให้พัฒนาพื้นที่นี้เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาด้านป่าไม้อเนกประสงค์และเกษตรกรรม ให้ราษฎรที่ทํากินอยู่เดิมมีส่วนร่วมดูแลรักษาป่าไม้ได้ประโยชน์และอาศัยผลผลิตจากป่าไม้โดยไม่ต้อง บุกรุกเข้าทําลายป่าอีกต่อไป...” พระราชดํารัสขณะเสด็จพระราชดําเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรที่ห้วยทราย อําเภอชะอํา จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖ 

     ๕๔. “…ทุกคนขวัญเสีย ทุกคนอารมณ์ไม่ดีเรื่องการจราจร แต่ได้พยายามให้ทุกคนช่วยกันแก้ไข ดีใจที่เห็นคนเอะใจว่า มีทางช่วยกันแก้ไขได้แล้วก็มีคนช่วยกันแก้ไม่น้อย อย่างเช่นตอนแรกที่มีโครงการ พระราชดําริก็ทํา” พระราชดํารัส เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ 

     ๕๕. “…เรื่องที่ช่วยชาวเขาและโครงการชาวเขานั้นมีประโยชน์โดยตรงกับชาวเขาเพื่อที่จะ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ดีขึ้น สามารถที่จะเพราะปลูกสิ่งที่เป็นประโยชน์และรายได้ กับเขาเอง ที่มีโครงการนี้จุดประสงค์อย่างหนึ่งก็คือ มนุษยธรรม หมายถึงให้ผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร สามารถที่จะมีความรู้และพยุงตัวมีความเจริญได้อีกอย่างหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ช่วยในทางที่ทุกคนเห็นว่าควรจะ ช่วย เพราะเป็นปัญหาใหญ่ก็คือปัญหาเรื่องยาเสพติดถ้าสามารถช่วยชาวเขาปลูกพืชที่เป็นประโยชน์บ้าง เขาจะเลิกปลูกยาเสพติด คือ ฝิ่น ทําให้นโยบายการระงับการปราบปรามการสูบฝิ่น และการค้าฝิ่นได้ผลดี อันนี้ก็เป็นผลอย่างหนึ่งผลอีกอย่างหนึ่งซึ่งสําคัญมากก็คือชาวเขาตามที่รู้เป็นผู้ที่ทําการเพราะปลูก โดยวิธี ที่จะทําให้บ้านเมืองของเราไปสู่หายนะได้โดยที่ถางป่าและปลูกโดยวิธีที่ไม่ถูกต้อง ถ้าพวกเราไปช่วยเขา ก็เท่ากับช่วยบ้านเมืองให้มีความอยู่ดีกินดีและปลอดภัยได้อีกทั่วประเทศ เพราะถ้าสามารถทําโครงการนี้ ได้สําเร็จ ให้ชาวเขาอยู่เป็นหลักเป็นแหล่งสามารถที่จะมีความอยู่ดีกินดีพอสมควร และสนับสนุนนโยบาย ที่จะรักษาป่าไม้รักษาดินให้เป็นประโยชน์ต่อไป ประโยชน์อันนี้จะยั่งยืนมาก...” พระราชดํารัสพระราชทานในโอกาสเสด็จพระราชดําเนินไปทรงเยี่ยมคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๗ 

     ๕๖. “…น้ํามันสมัยใหม่แพง ไม่รู้ทําไมมันแพง แต่ก็ยังไงเป็นสมัยนี้อะไรๆก็แพงขึ้นทุกทีจะให้ น้ํามันถูกลงมาก็ลําบากนอกจากจะหาวิธีที่จะทําให้น้ํามันราคาถูกซึ่งก็ทําได้เหมือนกัน ถูกกว่านิดหน่อยคือ แทนที่จะใช้น้ํามันที่มีออกเทน ๙๕ ก็ใช้ออกเทน ๙๑ แล้วก็เติมแอลกอฮอล์เข้าไปนิดหนึ่ง ก็เป็นออกเทน ๙๕ อาจเป็นได้ว่า รถจะวิ่งไม่เร็วก็ดีเหมือนกัน รถไม่วิ่งเร็วเกินไป รถจะได้ไม่ชนกันมากเกินไป ก็จะช่วย ประหยัด ทั้งหมดนี้เป็นความคิดที่ให้พอเพียง... “…พูดแบบคนไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องการคลังการเศรษฐกิจ แต่ว่าลองนึกดูถ้าสมมติว่าใช้ของที่ทําใน เมืองไทยทําในประเทศได้เองแล้วก็ทําได้ดีมากอ้อยที่ปลูกที่ต่างๆ เขาบ่นว่ามีมากเกินไปขายไม่ได้ราคาตก เราก็ไปซื้อในราคาที่ดีพอสมควร มาทําแอลกอฮอล์แล้วผู้ที่ปลูกอ้อยก็ได้เงิน ผู้ที่ทําแอลกอฮอล์ก็ได้เงิน...” พระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ 

     ๕๗. “…เราทําแล้วก็หมายความว่าเราไม่เดือดร้อนถึงเวลาเราอายุร้อยสิบแปด ถ้าอย่างไรเราก็ใช้ น้ํามันปาล์มของเราเอง คนอื่นอาจจะไม่ได้คนอื่นอาจจะไม่มีแต่ว่าเรามีเพราะเราขวนขวายหาวิธีที่จะทํา เชื้อเพลิงทดแทนได้ถ้าไม่ได้ทําเชื้อเพลิงทดแทน เราก็เดือดร้อนแล้วก็เป็นห่วง แต่เราไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าคนอื่นเขาไม่ทํา เขาอาจจะไม่มีน้ํามันไบโอดีเซลใช้แต่ว่าเรามีเราคือข้าพเจาท้ ําเอง...” พระราชดํารัสพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสวันเฉลิม พระพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ 

     ๕๘. “…พูดถึงไฟฟ้าและพลังงานไฟฟ้าและพลังงานนี่การไฟฟ้าต้องใช้พลังงาน เพราะว่าสําหรับ ปั่นไฟฟ้าต้องใช้พลังงาน เพื่อให้มีพลังงานไฟฟ้า อันนี้ก็ทํามานานแล้ว เวลาขาดแคลนเชื้อเพลิง ก็บอกว่า ให้ปิดโทรทัศน์ให้ปิดไฟ แล้วบอกได้ผลดีความจริงเปิดโทรทัศน์ไม่เป็นไร ถ้าน้ํามันเชื้อเพลิงหมดแล้ว ก็ยังใช้เชื้อเพลิงอย่างอื่นได้มีแต่ต้องขยันต้องหาวิธีที่จะทําให้เชื้อเพลิงเกิดขึ้นมาใหม่...” พระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวาย พระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต วันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ 

     ๕๙. “…สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง เขาบอกว่าเพราะมีสารคาร์บอนขึ้นไปในอากาศมาก จะทําให้ เหมือนเป็นตู้กระจกครอบ แล้วโลกนี้ก็จะร้อนขึ้น เมื่อโลกนี้ร้อนขึ้นก็มีหวังว่า น้ําแข็งก็จะละลายลงทะเล และรวมทั้งน้ําทะเลนั้นจะพองขึ้นเมื่อน้ําพองขึ้น ก็จะทําให้ที่ต่ํา เช่น กรุงเทพฯ ถูกน้ําทะเลท่วม จึงได้ ข้อมูลว่า สิ่งที่ทําให้คาร์บอนในอากาศเพิ่มมากขึ้นนั้นมาจากการเผาเชื้อเพลิงซึ่งอยู่ในดิน และจากการ เผาไหม้... “…ทําให้จํานวนคาร์บอนมีน้อยลงได้ก็เป็นความจริง ต้นไม้ทั่วโลกในปัจจุบันนี้กินคาร์บอนได้ในอัตรา ๑๑๐ พันล้านต่อปีแต่ถ้าเราดูต่อไปอีกต้นนั้นเองคายคาร์บอนออกมาในอัตราปีละ ๕๕ พันล้านตัน ก็เหลือกําไรเพียง ครึ่งเดียววิธีแก้ไขก็คือต้องเผาน้อยลง และต้องปลูกต้นไม้มากขึ้น...” พระราชดํารัสสิ่งแวดล้อมพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคลในโอกาสวัน เฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาพระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ 

     ๖๐. “…ทุกวันนี้ประเทศไทยยังมีทรัพยากรพร้อมมูลทั้งทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรบุคคล ซึ่งเราสามารถนํามาใช้เสริมสร้างความอุดสมบรูณ์และเสถียรภาพอันถาวรของบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี ข้อสําคัญเราต้องรู้จักใช้ทรัพยากรนั้นอย่างฉลาด คือไม่นํามาทุ่มเทใช้ให้เปลืองไปโดยไร้ประโยชน์หรือได้ ประโยชน์ไม่คุ้มค่า หากแต่การระมัดระวังใช้ด้วยวามประหยัดรอบคอบ ประกอบด้วยความคิดพิจารณา ตามหลักวิชาเหตุผล และความถูกต้องความเหมาะสม โดยมุ่งถึงประโยชน์แท้จริงที่จะเกิดแก่ประเทศชาติ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันยืนยาว” พระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการเสด็จออกมหาสมาคมในงานพระราชพิธี เฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2529 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระปรีชาสามารถคิดค้น ประดิษฐ์เครื่องมืออุปกรณ์ช่วยในการ แก้ไขปัญหาให้พสกนิกรตลอดเวลา ดังเช่น...ปัญหาน้ําเสียในกรุงเทพฯ แม่น้ําลําคลองต่างๆ และทั่วทุกพื้นที่ ของประเทศ ตลอดจนการบําบัดน้ําเสียในองค์กรต่างๆ พระองค์ทรงแลเห็นปัญหาน้ําเน่าเสียมากขึ้นทุกวัน และจะเป็นอุปสรรค์ในการดําเนินชีวิตของประชานชนต่อไปในอนาคต ดังนั้นจึงทรงคิดค้น... ‘กังหันน้ํา’หรือ ‘กังหันชัยพัฒนา’ 

     61. “…สิทธิบัตรนี้เป็นของคนไทยคนไทยเป็นคนทําและการทําฝนนี้ได้กุศล ให้ตั้งใจทําเหมือนกับ ถวายสังฆทานเพราะการ ทําฝนนี้ไม่ได้ทําให้คนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะ...” พระราชทานกระแสแก่คณะผู้เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรฝนหลวง ณ วังไกลกังวล เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2552 

     62. “…ชาติบ้านเมืองประกอบด้วยนานาสถาบัน อันเปรียบได้กับอวัยวะทั้งปวง ที่ประกอบกันขึ้น เป็นชีวิตร่างกาย ชีวิตร่างกายดํารงอยู่ได้เพราะอวัยวะใหญ่น้อยทํางานเป็นปรกติพร้อมกันอย่างไร ชาติบ้านเมือง ก็ดํารงอยู่ได้เพราะสถาบันต่างๆ ตั้งมั่นและปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยพร้อมมูลอย่างนั้น...” พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตํารวจและอาสาสมัครพลเรือนในพิธีตรวจพลสวนสนามในงานพระราชพิธีรัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2514 

     63. “…ข้าราชการทุกฝ่ายมีหน้าที่เหมือนกันที่จะต้องตั้งใจขวนขวายปฏิบัติงานด้วยความฉลาด รอบคอบ ให้สําเร็จลุล่วงตรงตามเป้าหมายโดยไม่ชักช้าและที่จะต้องร่วมกับชาวไทยทุกคนในอันที่จะอุ้มชู รักษาความดีในชาติให้ยืนยงมั่นคงอยู่คู่กับผืนแผ่นดินไทย ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ที่มีตําแหน่งสําคัญ ยิ่งจะต้อง ปฏิบัติให้ดีให้หนักแน่น ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ผลงานที่สําเร็จเกิดขึ้นจากความร่วมมือและจากความ บริสุทธิ์ใจ จักได้แผ่ไพศาลไปตลอดทั่วทุกหนแห่ง ยังความสุขความเจริญที่แท้จริงให้บังเกิดขึ้นได้ตามที่ ปรารภปรารถนา...” พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน เม่ือวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2524 

     64. “…สัจจะวาจานั้นเป็นรากฐานของการทํางาน หรือการดํารงชีวิตที่ดีที่งามที่มีความก้าวหน้า มีความสําเร็จ ‘สัจ’ เป็นการตั้งใจ ตั้งจิตใจ ‘วาจา’ เป็นคําพูดออกมา แสดงถึงคําพูดนั้นต้องออกมาจากใจ คือเป็นการตั้งใจที่จะทําอะไรเพื่อความสําเร็จในงานนั้น...” พระบรมราโชวาทในโอกาสที่ผู้พิพากษาประจํากระทรวงยุติธรรมเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2525 

     65. “…งานราชการนั้น คืองานของแผ่นดิน มีผลเกี่ยวข้องเนื่องถึงประโยชน์ของบ้านเมืองและ ประชาชนทุกคน งานทุกอย่างจึงต้องมีผู้ปฏิบัติและมีผู้รับช่วง เพื่อให้งานดําเนินต่อเนื่องไปไม่ขาดสาย ดังนั้นผู้ปฏิบัติบริหารงานราชการทุกฝ่ายทุกระดับจึงไม่ควรยกเอาเรื่องใครเป็นผู้ทํามาก่อน หรือใครเป็น ผู้รับช่วงงานขึ้นเป็นข้อสําคัญนัก จะต้องถือประโยชน์ที่จะเกิดจากงานเป็นหลักใหญ่แล้วร่วมกันคิดร่วมกัน ทําด้วยความอุตสาหะ เสียสละ และด้วยความสุจริตจริงใจ งานทุกอย่างจึงจะดําเนินไปได้อย่างราบรื่น ไม่ติดขัดและสําเร็จผลเป็นประโยชน์ได้อย่างแท้จริงและยั่งยืนตลอดไป... “…เป็นงานส่วนรวม มีผลกว้างขวาง เกี่ยวข้องกับบ้านเมืองและบุคคลทุกคนทุกฝ่าย เมื่อเป็นงาน ส่วนรวมและมีผลเกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก ปัญหาข้อขัดแย้งต่างๆ อันเนื่องมาจากความคิดเห็นไม่ตรงกัน ตลอดจนทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จึงต้องมีใจที่หนักแน่น และเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง แม้กระทั่งคําวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีสติใช้สติปัญญา และเหตุผลเป็นเครื่องปฏิบัติวินิจฉัย โดยถือว่า ความคิดเห็นและคําวิพากษ์วิจารณ์นั้น คือ การระดมสติปัญญาและประสบการณ์อันหลากหลายจากทุกคนทุก ฝ่าย เพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติบริหารงาน และการแก้ปัญหาต่างๆ ให้งานทุกส่วนทุกด้านของแผ่นดิน สําเร็จผลเป็นความเจริญมั่นคงแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง...” พระบรมราโชวาทเนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจําปีพ.ศ. 2558 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2558 

     66. “…ในบ้านเมืองนี้มีทั้งคนดีและคนไม่ดีไม่มีใครที่จะทําให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทําให้ บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทําให้ทุกคนเป็นคนดีหากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดีให้คนดี ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอํานาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...” พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมชนลูกเสือแห่งชาติค่ายลูกเสือวชิราวุธจังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2512 

     67. “…คนไม่มีความสุจริต คนไม่มีความมั่นคงชอบแต่มักง่าย ไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ ส่วนรวมที่สําคัญอันใดได้ผู้ที่มีความสุจริต และความมุ่งมั่นเท่านั้น จึงจะทํางานยิ่งใหญ่ที่คุณเป็นประโยชน์ แท้จริงได้สําเร็จ...” พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2522 

     68.“…ข้าราชการไม่ว่าจะอยู่ตําแหน่งใด ระดับไหน มีหน้าที่อย่างไร ล้วนแล้วแต่มีส่วนสําคัญ อยู่ ในงานของแผ่นดินทั้งสิ้น ทุกคนจึงต้องตั้งใจปฏิบัติหน้าที่โดยเต็มกําลังความสามารถด้วยอุดมคติ ด้วยความเข้มแข็งเสียสละและระมัดระวังให้การทุกอย่างในหน้าที่เป็นไปอย่างถูกต้องเที่ยงตรงด้วยความ ระลึกรู้ตัว อยู่เสมอว่าการปฏิบัติตัว ปฏิบัติงานของตนมีผลเกี่ยวเนื่องถึงสุขทุกข์ของประชาชน ตลอดจน ความเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงของประเทศชาติ...” พระบรมราโชวาทเนื่องในวันข้าราชการพลเรือน เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557 

     69. “…การควบคุมและตรวจสอบเงินแผ่นดินเป็นสิ่งสําคัญและจําเป็น เพราะเงินแผ่นดินนั้น คือ เงินของประชาชนทั้งชาติผู้ทํางานนี้จึงต้องกําหนดแน่แก่ใจอยู่เป็นนิตย์ที่จะปฏิบัติหน้าที่ในความ รับผิดชอบของตน ด้วยความอุตสาหะพยายาม ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และด้วยความละเอียดถ่ีถ้วน ระมัดระวังอย่างเต็มที่เพื่อมิให้เกิดความพลั้งพลาดเสียหาย และให้มั่นใจได้ว่า การใช้จ่ายเงินของแผ่นดิน ได้เป็นไปโดยบริสุทธิ์และบังเกิดผลเป็นประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย...” พระราชดํารัสที่พระราชทานแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ในโอกาส ครบรอบ 84 ปีแห่งการสถาปนาสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2542 ความบางตอนจากพระราชดํารัสองค์หนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแก่สํานักงาน การตรวจเงินแผ่นดิน ถ้อยคําที่เปลี่ยมความหมายจดนี้แสดงให้เข้าใจอย่างง่ายว่า เงินทุกบาทที่ส่วนราชการ ใช้เงินเดือนบุคลากรของรัฐ และทรัพย์สินขอราชการทุกสิ่งล้วนเป็นของประชาชนคนไทย เพราะเป็นเงิน ที่ได้มาจากประชาชนคนไทยทั้งสิ้น และเหมือนดูว่าพระราชดํารัสดังกล่าวเปรียบเสมือนดั่งน้ําทิพย์หล่อเลี้ยงจิตใจให้ข้าราชการและลูกจ้าง ของสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินทุกคน ได้ยึดถือไว้เป็นแนวปฏิบัติสําคัญในการปฏิบัติงานตลอดมา และปีพ.ศ. 2558 นี้เป็น 100 ปีแห่งการตรวจสอบเงินแผ่นดินของสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งได้รับการ ยอมรับในฐานะองค์กรอิสระที่ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนสูงสุดในปัจจุบัน

Visitors: 59,891